ปัจจุบัน โรคมะเร็งตับ เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตมากที่สุดของคนไทย พบมากเป็นอันดับ 1 ในผู้ชายและอันดับ 3 ในผู้หญิง (ข้อมูลจาก สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์) ซึ่งสาเหตุหลักที่นำไปสู่ มะเร็งตับ ก็คือ โรคไขมันพอกตับ โรคที่ไม่มียารักษาได้ 100% แต่ป้องกันและฟื้นฟูได้
โรคไขมันพอกตับ
“ทุกคนเสี่ยงเป็น ไขมันพอกตับ ” คำกล่าวนี้ไม่ใช่เรื่องเกินจริง เพราะไขมันพอกตับ คือภัยร้ายที่แฝงตัวอยู่ภายใต้วิถีชีวิตของคนยุคนี้ ซึ่งมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปทั้งเรื่องอาหารการกิน ชีวิตความเป็นอยู่ สภาพแวดล้อม หรือแม้แต่ความเครียดที่อยู่รอบตัวเราพร้อมที่จะเป็นเชื้อเพลิงค่อยกระตุ้นให้สุขภาพร่างกายเราแย่ลงเรื่อยๆ ซึ่งอวัยวะด่านแรกที่ได้รับผลกระทบคงหนีไม่พ้นคือ ตับ เรียกได้ว่าเป็นการสร้างภาระให้ตับโดยที่เราไม่รู้ตัว
สาเหตุ ไขมันพอกตับ
ไขมันพอกตับ เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน เกิดจากเซลล์ไขมันที่มีชื่อว่า “ไตรกลีเซอไรด์ “(Triglycerides) เข้าไปสะสมในเซลล์ตับ จนทำให้เซลล์ตับบวมโตและส่งผลให้ตับทำหน้าที่ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ และหากมีการอักเสบของตับเป็นระยะเวลานาน จนส่งผลให้เกิดการทำลายของเซลล์ตับเสื่อมสภาพและแข็งตัวกลายเป็นแผลเป็นในรูปของพังผืดทำให้ในท้ายที่สุดเกิดภาวะตับแข็งและอาจจะกลายเป็นโรคมะเร็งตับได้
4 ลักษณะเสี่ยง
ทั้งนี้ ตามภาวะปกติแล้วเซลล์ตับที่มีสภาพสมบูรณ์จะมีระดับของไขมันอยู่ในช่วงประมาณ 3-5% แต่หากอยู่ใน ภาวะไขมันพอกตับ จะเกิดความแตกต่างกันมหาศาล เพราะมีปริมาณไขมันในระดับสูงเกินกว่า 30% เท่ากับเป็นปริมาณไขมันที่สูงกว่าสภาพสมบูรณ์หลายเท่าตัว โดยคุณสามารถตรวจสอบในเบื้องต้นได้ว่า ปัจจุบันคุณถือเป็นผู้มีความเสี่ยงเป็น ไขมันพอกตับ หรือไม่จากการตรวจสอบลักษณะเสี่ยงดังต่อไปนี้
- ดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่เป็นประจำ
- มีลักษณะอ้วนและมีน้ำหนักมากกว่าเกณฑ์ปกติ
- ชอบกินของทอด ของมัน และไม่ค่อยกินผักผลไม้
- มีปัญหาไขมันในเลือดสูง เป็นโรคเบาหวาน ความดัน โลหิตสูง
- หากคุณเข้าข่ายตามลักษณะเสี่ยงดังกล่าวเพียงแค่ 1 ข้อ ก็ถือว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะเป็น
แอลกอฮอล์
สำหรับผู้ที่นิยมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นปริมาณมากทุกวันจะไปรวมตัวกับพลังงานที่ดูดซึมมาจากอาหาร ซึ่งเป็นพลังงานที่ดึงออกไปไม่ได้และสะสมอยู่ที่ตับในสภาพของไขมันที่เป็นกลาง จนเกิดโรคไขมันพอกตับที่เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งจะไม่ปรากฏอาการในระยะแรก แต่จะสะท้อนให้เห็นผ่านการตรวจวัดสมรรถภาพตับโดยดูได้จากค่า GGT ที่สูงเกินค่าปกติ
อย่างไรก็ตาม ต้นเหตุของปัญหาไขมันพอกตับยังไม่ได้มาจากการดื่มแอลกอฮอล์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่การบริโภคอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว ขนมปัง น้ำตาล ในจำนวนที่มากเกินไปจะส่งผลให้เกิดเป็นโรคนี้ได้เช่นกัน โดยลักษณะนี้จะเรียกว่า “โรคไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดการจากการดื่มแอลกอฮอล์” ซึ่งมักจะเกิดกับผู้ที่มีระดับไขมันในร่างกายสูงผิดปกติร่วมด้วย หรือ มีลักษณะโรคอ้วนลงพุงนั่นเองซึ่งนี่คือ 4 ลักษณะเสี่ยง ที่หากตรวจเช็คแล้วตรงกับตัวคุณ ต้องรีบดำเนินการหาทางแก้ไขอย่างเร่งด่วน
4 สัญญาณร้ายต้องรีบตรวจร่างกาย
สำหรับ โรคไขมันพอกตับ ถือเป็นโรคที่มีความแตกต่างจากโรคอื่น เพราะส่วนใหญ่แล้วจะไม่แสดงอาการออกมาให้เห็นในทันที จึงทำให้เรายังคงใช้ชีวิตไปตามปกติ ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดูแลร่างกาย ขาดการรักษาหรือดูแลสุขภาพร่างกายให้ถูกวิธี กลุ่มผู้ป่วย ระยะแรก หรือ ในกรณีที่บางคนเป็นโรคแบบไม่รู้ตัว เมื่อขาดการดูแลหรือพบแพทย์อย่างเร่งด่วน โรคไขมันพอกตับ เริ่มพัฒนาความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับแสดงอาการออกมาผ่านทางร่างกาย ซึ่งถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า คุณอาจกำลังเป็นโรคไขมันพอกตับแล้ว โดยมี 4 สัญญาณร้ายที่คุณต้องรีบสำรวจร่างกายทันที หากคุณมีอาการผิดปกติดังต่อไปนี้
- มีอาการปวดจุก หรือแน่นชายโครงขวา
- เบื่ออาหาร น้ำหนักลดแบบหาสาเหตุไม่ได้
- อ่อนเพลียเรื้อรัง หมดแรงง่าย
- ผิวหนังและเยื่อตาขาวเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือปัสสาวะมีสีเหลืองเข้ม
โดยในกรณีที่เกิดอาการปวดจุก หรือแน่นชายโครงขวา ซึ่งเป็นที่อยู่ของตับ นี่คือหนึ่งในสัญญาณเตือนของร่างกายที่ส่งถึงเรา และไม่ควรมองเป็นเพียงเรื่องธรรมดา อาจเพราะมีการอักเสบของเนื้อตับ หรือเกิดจากก้อนเนื้องอกภายในเนื้อตับ ในบางรายอาจมีอาการ ท้องอืด ท้องเฟ้อ เนื่องจากตับมีประสิทธิภาพการทำงานลดลง จึงทำให้ระบบเผาผลาญของร่างกายลดลงตาม ผลที่ตามมาทำให้อาหารที่รับประทานเข้าไปไม่สามารถย่อยได้ตามปกติ และเกิดอาการท้องอืดหรือท้องเฟ้อตามมาในภายหลัง ส่วนบางรายจะมีอาการอ่อนเพลียง่ายเป็นประจำ ทั้งๆที่นอนหลับอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม และหากยังมีอาการเหล่านี้เป็นอย่างต่อเนื่อง จะเริ่มส่งผลให้บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เช่น ขี้หลงขี้ลืมง่าย ไม่มีสติ เนื่องจากมีสารพิษตกค้างอยู่ในร่างกายจนเลือดไหลเวียนไม่ดี และส่งผลให้เกิดความผิดปกติต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน หรือแม้แต่อาการดีซ่านซึ่งเป็นผลข้างเคียงของโรคตับที่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่า สมรรถภาพการทำงานของตับเริ่มถดถอย
สรุป
ดังนั้น หากคุณมีอาการตามในลิสนี้เพียง 1 ข้อ ต้องรีบพบแพทย์เพื่อตรวจหาว่าตับของคุณมีสภาพดีหรือไม่โดยด่วน เพราะนี่ไม่ใช่สถานการณ์ปกติเหมือนเลขคณิตศาสตร์ที่ 4 + 4 = 8 แต่นี่คือ 4 ลักษณะ + 4 สัญญาณร้าย = เสี่ยงเป็น ไขมันพอกตับ ที่พร้อมโจมตีคุณโดยไม่รู้ตัว อย่างเช่น คุณสมเกียรติ ลิมปนาภิรักษ์ เป็น ไขมัน(ไตรกลีเซอไรด์) สูงถึง 1,011 (ค่าปกติคือไม่เกิน 150) เสี่ยงอัมพาต ปากเบี้ยว มะเร็งตับ แต่ลองทาน พรูนัส มูเม่ 20 วัน ไปตรวจเลือด ไขมันลดลงเหลือ 147 สู่ระดับปกติ